10 สิ่งที่ต้องรู้ในปี 2017 และเป็นเทรนด์ต่อเนื่องไปถึงปี 2018 เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างวุ่นวาย จะมีเรื่องราวอะไรบ้าง ต้องไปดูกัน
- Broken trust

ความล่มสลายในการเชื่อมั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง มองว่ายุคนี้มีกูรูเยอะเกินไป ไม่เชื่อกูรูหลายคน ต้องมีสำนักข่าวที่บอกความจริงแก่ผู้บริโภค และมีมุมมองต่อแบรนด์ว่าต้องมีจุดยืนในสังคม มีผลสำรวจบอกว่าผู้บริโภคในอเมริกาจะเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน เช่น กรณีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีแบรนด์ที่ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าอยู่ฝั่งทรัมป์ หรือไม่อยู่ฝั่งทรัมป์ ผู้บริโภคก็ตัดสินใจชัดเจนในการเลือกซื้อสินค้าตามทัศนคติของตน
หรือเลือกแบรนด์ที่ทำให้สังคมดีขึ้น แบรนด์ต้องแสดงทัศนคติที่ชัดเจนให้คนคล้อยตาม เพราะฉะนั้นนักการตลาดต้องวางจุดยืนให้แบรนด์ ไม่ใช่ทำแต่ CSR แต่ต้องสร้างคุณค่าให้แบรนด์
- หมดยุค Storytelling แต่เป็น Story doing

ในยุคนี้ทุกคนหันมาทำแคมเปญ Story telling กันหมด ทำการตลาด ทำคอนเทนต์ แต่การตลาดที่ดีต้องลงมือทำ ผู้บริโภคจะจดจำแบรนด์ที่ทำได้ดีกว่าแบรนด์ที่พูด จากผลสำรวจพบว่าแบรนด์ที่ทำ Story doing มีผลดีทั้งในแง่ของคุณค่า รายได้ และใช้งบลงทุนน้อยกว่า แต่มีการพูดถึงมากกว่า เช่น แบรนด์ Nike ที่ไม่พูดว่าให้ทุกคน Just do it แต่สนับสนุนให้คนลงมือทำ
- Psychology & Behavior

จิตวิทยา และพฤติกรรมของผู้บริโภค ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกเยอะมากมาย ทำให้เกิดศาสตร์ Behavior Economic ที่เพิ่งถูกคิดค้นขึ้น เป็นเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มีผลสำรวจพบว่ามนุษย์ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อของเพียงแค่ 5% อีก 95% คืออารมณ์ล้วนๆ แล้วหาเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนเท่านั้น

แบรนด์ต้องทำอย่างไรให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น เพราะสมองไม่ชอบเลือกมากนัก และผู้บริโภคจะชอบสินค้าที่เป็น Personalize เกิดมาเพื่อฉัน ทำให้คนซื้อมากขึ้น เช่น โค้กทำแคมเปญพิมพ์ชื่อเล่นยอดนิยมบนฉลากโค้ก ช่วยกระตุ้นให้คนสนใจและซื้อมากขึ้น
- Brand as Experience

ต่อไปนี้แบรนด์จะไม่เป็นแบรนด์ แต่จะเป็นประสบการณ์ที่ดี ผู้บริโภคยุคนี้ชอบในเรื่องประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์มากกว่า เช่น การต่อแถวซื้อไอโฟนในแต่ละปี การทานอาหารในโรงแรม หลายคนมองว่ายอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ดี ทำให้แบรนด์ต้องพัฒนาในการสร้างประสบการณ์ของตนเอง ต้องมีการ Design thinking เข้าใจความรู้สึกผู้บริโภคว่าต้องการอะไร แล้วดูว่าแบรนด์สามารถไปตอบโจทย์ตรงไหนได้บ้าง เพื่อให้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น
- Brand Asset Data

ตอนนี้ดาต้ากลายเป็นทรัพย์สินสำคัญของแบรนด์ แต่ก่อนมองว่าดาต้าเป็นน้ำมันที่คนยุคใหม่ต้องการขุดขึ้นมาให้มีมูลค่า แต่ตอนนี้ดาต้ากลายเป็นแผ่นดินใหม่ที่ปลูกอะไรต่อก็ได้
มีการพูดถึง Big data มาหลายปี แต่จริงๆ แล้วข้างใน Big data อาจจะใช้งานไม่ได้ ตอนนี้ต้องเป็น Smart data ที่นำข้อมูลมาใช้ได้เลย เอามาวางแผนเรื่องการเงิน การซื้อของๆ ผู้บริโภค เทเลคอม สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เทรนด์ Face data เริ่มมีบทบาทจากสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยีสแกนใบหน้า ต่อไปจะเริ่มเก็บอารมณ์คนได้ เพราะฉะนั้นแบรนด์ต้องรู้จักการใช้ดาต้าให้มีประโยชน์ที่สุด
- Mobile จะหายไป

การใช้มือถือจะหายไป แต่จะเป็นยุคของ AI คนจะปฏิสัมพันธ์กับ Chatbot มากขึ้น ได้เห็นพฤติกรรมวัยรุ่นนิยม
แชทผ่าน UI ใหม่ เช่น มีการอ่านนิยายผ่านแชท หรือการสั่งงานผ่านเสียง เป็นยุคที่เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่หน้าจอ
แบรนด์ต้องเตรียมวิธีการสื่อสารให้ดีถ้าถึงในยุคที่ไม่มีจอ
- New Reality

โลกใหม่ด้วยเทคโนโลยี AR/VR กล้องถ่ายรูปจะทำอะไรได้มากขึ้น สแกนทุกอย่างได้ เช่น Pinterest ตามหาภาพด้วยรูปที่ถ่าย หรือต่อไปจะมีแว่นมาแทนมือถือ กลายเป็นโลกใหม่ด้วยเทคโนโลยี มีอุปกรณ์ใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ อย่าง Google กำลังทำคอนแทค เลนส์แล้วใส่ AR จะเห็นภาพคอมพิวเตอร์ในตา จะเห็นว่าแบรนด์เริ่มทำ AR เป็นของตัวเองมากขึ้น
- Autonomous Life


มนุษย์จะขี้เกียจมากขึ้นจะมีรถยนต์อัตโนมัติออกมา เพราะคนขี้เกียจขับรถ อุปกรณ์ในเรื่อง Voice search มีการใช้งานสูงขึ้น อย่าง Amazon จะเริ่มทำอุปกรณ์ Voice technology ที่มีจอภาพสามารถดู Youtube ได้ เพราะคนฝรั่งชอบทำอาหาร มักใช้อุปกรณ์นี้ในครัว
- แบรนด์ต้องมี Ecosystem

Amazon ในอดีตขายแต่หนังสือ แต่ต่อมาก็สร้างร้านขายหนังสือขึ้นมา เพื่อสร้าง Ecosystem ในการดันสินค้าขึ้นมา ให้คนทั่วไปเห็นกระบวนการทำงานว่าเป็นอย่างไร หรืออย่างร้านแว่นตา Warby Partner เป็นร้านขายออนไลน์ ได้ทำร้านแว่นขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าได้ลองแว่นแล้วมาสั่งซื้อออนไลน์

ส่วน Apple เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุด มีการสร้างอุปกรณ์ทุกอย่างที่เชื่อมเข้าด้วยกัน อุปกรณ์เสริมก็ต้องใช้กับ Apple อย่างเดียวเท่านั้นถึงได้ประสบการณ์ที่ดี
- Rise of AI

ในอนาคตจะมีหลายอาชีพที่จะหายไปเพราะ AI ได้เข้ามา เช่น Tele Marketing, คนทำบัญชี, พนักงานขาย, นักวิเคราะห์ หุ่นยนต์จะเข้ามาทำแทนหมด ในต่างประเทศเริ่มทำการวิเคราะห์จากใบหน้าคนแล้วว่ามีสีหน้าต้องการอะไรบ้าง AI สามารถคำนวนได้ทุกอย่าง หลายคนลงทุนใน AI เยอะ เข้ามาอยู่เบื้องหลังในการทำการตลาดทุกอย่าง นักการตลาดจะใช้แรงน้อยลง ใช้ AI มากขึ้น ถ้าแบรนด์ไม่มีอาจจะทำให้ทำตลาดกว่าคนอื่น แบรนด์ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้นได้บ้าง
ที่มาข้อมูล :https://brandinside.asia/10-trends-digital-marketing-2018/